เงินลงทุนที่ต้องใช้สำหรับเริ่มต้นธุรกิจ คือ เงินลงทุนในทรัพย์สินต่างๆ ที่จำเป็นต่อธุรกิจอันได้แก่ ค่าเช่าอาคาร ค่าตกแต่งต่อเติมค่าซื้อเครื่องใช้สำนักงานค่าใช้จ่ายเริ่มแรกขณะเริ่มต้นธุรกิจค่าใช้จ่ายสำหรับแผนการตลาด การโฆษณาตลอดจนค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าสาธารณูปโภคและเงินเดือนพนักงาน ด้วยเหตุนี้จึงควรทำแผนงานเปิดกิจการอันประกอบด้วย การประมาณค่าใช้จ่ายต่อเดือนที่จะเกิดขึ้นและต้นทุนที่จ่ายไปเมื่อเริ่มต้นกิจการ ซึ่งแผนงานดังกล่าวจะช่วยให้สามารถมองเห็นภาพของการใช้เงินลงทุนได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น
การหาแหล่งเงินลงทุนสำหรับการเริ่มต้นธุรกิจขนาดเล็กมาจากแหล่งต่าง ๆ ได้ดังนี้
1. เงินเก็บ-เงินสะสมของครอบครัวผู้ประกอบการ
ถ้าเริ่มต้นจากตรงนี้ก็ได้ง่าย ไม่ต้องง้อใคร อยากทำธุรกิจอะไร ต้องซื้อ-เช่าตึกแถว อุปกรณ์สินค้า ตกแต่งร้านหรือจ้างพนักงานก็ทำได้ตามกำลังเงิน ของตัวเองที่มีอยู่ ถ้ามั่นใจว่าเราทำธุรกิจได้ดี เห็นโอกาสทางการตลาด คิดว่าไม่เจ๊งก็ลุยได้เลยผมถือว่าคนที่มีความคิดจะมีธุรกิจเป็นของตัวเองควรต้องมีเงินทุนจากเงินเก็บ ของตนเองหรือครอบครัวอยู่ระดับหนึ่ง ถ้าไม่พอค่อยหาจากแหล่งอื่น ๆ ที่จะพูดต่อไป ถ้าทุนเริ่มต้นน้อยก็ยังไม่คิดการใหญ่ ทำธุรกิจเล็ก ๆ ใช้เงินทุนน้อย ๆ ก่อน ถ้าดีก็ค่อยกู้เงินมาขยายกิจการ ถ้าล้มเหลวก็เจ็บตัวไม่มากแค่เงินเก็บหมด ไม่ถึงขนาดต้องเป็นหนี้ แต่ถ้าคิดจะจับเสือมือเปล่าโดยหาแหล่งทุนจากภายนอกล้วน ๆ ไม่ลงเงินเองเลย ก็ต้องมีความสามารถเฉพาะตัวเป็นทุนเดิม เช่น เป็นพ่อครัวแม่ครัวที่มีฝีมือแล้วหาพรรคพวกมาลงทุนเปิดร้านอาหารให้ เราเป็นคนดูแลในครัวเป็นแบบหุ้นลมไม่ลงเงินแต่ลงแรงก็พอ จะคบกันไปได้แต่มาแบบไอเดียล้วย ๆ จะไปขอเงินชาวบ้านมาลงทุนก็ยากหน่อย
2. เงินจากเพื่อนฝูง ญาติพี่น้อง
กรณีไม่มีเงินเก็บหรือมีแล้วแต่ยังไม่พอที่พึ่งที่ดีที่สุดของเถ้าแก่หน้าใหม่ คือ เพื่อนฝูงและญาติพี่น้องซึ่งงานนี้จะได้หรือไม่ มากน้อยแค่ไหนก็แล้วแต่กรรม ของแต่ละคนจริง ๆ เถ้าแก่หลายคนที่ผมรู้จักและทำธุรกิจประสบความสำเร็จก็ได้เงินทุนเริ่มต้นมาจากภรรยา พ่อตา พี่ คุณตาคุณยาย ถ้าโชคดีทำบุญมามาก มีญาติพี่น้องรวยหรือภรรยารวยก็ไม่ต้องหันไปพึ่งธนาคารหรอกครับ หาญาติผู้ใหญ่ ขอยืมเงินมาลงทุนหรือชวนเขามาเข้าหุ้นกับเราได้เลย ดอกเบี้ยอาจไม่ต้องเสียหรือ เสียต่ำกว่าธนาคาร แถมยังมีระยะปลอดหนี้ยาวนานกว่าด้วย
3. จากสถานบันการเงิน
ซึ่งแหล่งทุนปัจจุบันไม่ว่า SMEs Bank , ธนาคารกรุงไทย , ธนาคารออมสินและธนาคารไทยพาณิชย์เกือบทุกแห่งต่างสนใจปล่อนสินเชื่อ SMEs กันทั้งนั้น เพื่อระบายเงินฝากที่ล้นธนาคาร แต่แน่นอนครับการเอาเงินของผู้ฝากมาปล่อยกู้ ธนาคารก็ต้องการหลักประกันที่แน่ใจว่าจะได้รับเงินต้นและดอกเบี้ยคืน เขาต้องขอหลักทรัพย์ค้ำประกัน เช่น บ้าน ที่ดิน หรือบุคคลที่น่าเชื่อถือ ซึ่งขั้นตอนต่าง ๆ ก็ไม่ยุ่งยากนักถ้าเรามีหลักทรัพย์หรือบุคคลที่น่าเชื่อถือมาค้ำประกันเกินกว่าวงเงินกู้ แต่ SMEs ที่บ่นว่ากู้ธนาคารลำบาก วุ่นวาย ส่วนหนึ่งเพราะหลักฐานไม่ครบหรือขาดหลักทรัพย์ค้ำประกันมากกว่าก็เราไปกู้เงินเขานี่ครับ เขาไม่รู้จักเราต้องรอบคอบหน่อย ตรวจเอกสารนานหน่อย ลองคิดดูว่าขนาดญาติพี่น้องหรือเพื่อนฝูงที่เรารู้จัก เขายังไม่ให้ยืมเลย และธนาคารไม่รู้จักเราเลยจะปล่อยกู้ง่าย ๆ แบบถอนเงินฝากได้อย่างไร
4. จากผู้ผลิตหรือผู้ขายสินค้า
ในกลุ่ม SMEs สายค้าส่งค้าปลีกหรือสายการผลิต เราต้องขอเครดิตจากผู้ขายสินค้ามาให้เราได้ เช่น ในการเปิดร้านค้าปลีก ผู้ค้าส่งบางรายจะยอมให้เรา สั่งสินค้ามาขายก่อนโดยยังไม่ต้องจ่ายเงิน นาน 1-2 เดือนถ้าเราวางแผนบริหารสินหมุนเวียนดี ๆ ไม่สั่งของมาเก็บมาเกินไปแล้วเร่งขายให้ได้ก่อนถึงกำหนดชำระเงิน เราก็จะได้เงินสดมาหมุนเวียนในกิจการแต่ต้องระวังอย่าหมุนเพลินจนเมื่อถึงกำหนดชำระสินค้าแล้วไม่มีเงินมาจ่ายกลายเป็นเสียเครดิตในการทำธุรกิจจนไม่อยากมีใครขายของให้หรือ ถ้าขายก็ขอเป็นเงินสด งดรับเช็ค
5. จากบัตรเครดิต
จะว่าไปแล้วบัตรเครดิตถ้านำมาใช้ให้เป็นก็จะเป็นแหล่งเงินสำหรับหมุนเวียนในการทำธุรกิจที่ดีทีเดียว เช่น ในการสั่งสินค้ามาขาย ถ้าเราชำระเป็นบัตรเครดิต เราจะยืดระยะเวลาชำระเงินไปได้อีก 30 – 55 วัน ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่บัตรนั้น ๆ ให้ระหว่างนั้นเราขายสินค้าได้เราก็มีเงินมากชำระบัตรเครดิตไม่ต้องเสียค่าดอกเบี้ย ถ้าวงเงินไม่พอ ก็ทำบัตรหลาย ๆ ใบ เอาวงเงินรวมกันได้มากพอสมควร ยุคนี้ธนาคารก็เร่งขยายตลาดบัตรเครดิตการขอทำบัตรก็ไม่ยากนักแถมยังได้สะสมแต้มแลกของรางวัลอีก
แนวทางนี้เป็นแหล่งเงินที่เบิกง่ายใช้คล่อง ถ้าบริษัทที่เราซื้อเขาไม่รับบัตรเครดิต ร้านก็จะรับรูดบัตรจากเขาได้รับเงินจากธนาคารเลย ไม่ต้องห่วงเรื่อง เช็คเด้ง แต่ก็โดนหักค่าธรรมเนียมประมาณ 1-5 % แล้วแต่บัตรและประเภทธุรกิจ ถ้าเรายอมจ่ายค่าธรรมเนียมแทนเขาบางส่วนอาจทำให้ผู้ขายยอมรับชำระด้วยบัตรเครดิตก็ได้